วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2553

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คำศัพท์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง

ADDRESS ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต หรือ ที่อยู่ของอีเมล์
ADS LAsymmetric DSL หมายถึง เทคโนโลยี DSL ที่สามารถ ส่งสัญญาณข้อมูล แบบแบนด์วิดท์ไม่สมดุลย์ ผ่านคู่สายสัญญาณ เพียงคู่เดียวได้ โดยทั่วไป แบนด์วิดท์ของ ช่องสัญญาณขาลง (downstream bandwidth) ซึ่งมีทิศทาง การส่งข้อมูล จากเครือข่ายไปสู่ผู้ใช้ จะมีขนาด กว้างกว่าแบนด์วิดท์ของ ช่องสัญญาณขาขึ้น (upstream bandwidth) ซึ่งมีทิศทาง การส่งข้อมูล จากผู้ใช้ไปสู่เครือข่าย
ATM Asynchronous Transfer Mode ซึ่งภายใต้การส่งข้อมูล แบบ ATM นี้ ข้อมูลหลายๆ ประเภท (ตัวอย่างเช่น เสียง ภาพ หรือตัวอักษร และตัวเลข) จะถูกส่งไปในรูปของ หน่วยข้อมูลที่เรียกว่า Cells ที่มีความยาว คงที่ตลอด (แทนที่จะ ถูกส่งในลักษณะของ "กลุ่ม" ข้อมูล (packets) ที่มีความยาว หลากหลายไม่คงที่ ซึ่งใช้กันใน เทคโนโลยีเช่น Ethernet และ Fiber Distributed Data Interface หรือที่เรียกว่า FDDI)
Backbone เปรียบได้กับ กระดูกสันหลัง ของเครือข่ายสื่อสาร เป็นส่วนสำคัญ ของเครือข่าย ที่ทำหน้าที่เป็น เส้นทางหลัก ในการส่งข้อมูล ระหว่างเครือข่าย มากกว่า ที่จะใช้ส่งข้อมูล กันภายใน
Bandwidth แบนด์วิดท์ หมายถึง ความจุข้อมูล ของเส้นทาง เชื่อมต่อเครือข่าย ที่สามารถส่งผ่านไปได้ ซึ่งบอกถึง ความเร็วในการส่งข้อมูล ตัวอย่างเช่น การเชื่อมโยงระบบ Ethernet นั้น สามารถส่งผ่านข้อมูลได้ เป็นจำนวน 10 ล้านบิตต่อวินาที ในขณะที่ การเชื่อมโยงระบบ Fast Ethernet นั้น สามารถส่งข้อมูลได้ เร็วกว่าถึง 100 ล้านบิตต่อวินาที จึงมีแบนด์วิดท์มากกว่า เป็น 10 เท่า
Bridge บริดจ์ เป็นอุปกรณ์สำหรับ ส่งผ่านกลุ่มข้อมูล (packets) ผ่านส่วนต่างๆ ของเครือข่ายสื่อสาร โดยอาศัย โปรโตคอลสื่อสาร อันเดียวกัน ในกรณีที่ กลุ่มข้อมูลนั้น ต้องถูกส่งไปยัง ผู้ใช้ปลายทาง ที่อยู่ในเครือข่าย ส่วนเดียวกันกับผู้ส่ง บริดจ์จะไม่ส่งผ่านข้อมูล ออกไป นอกส่วนเครือข่ายนั้น แต่ในกรณีที่ ต้องส่งข้อมูล ไปยังส่วนอื่น บริดจ์ก็จะส่งผ่านข้อมูล ออกไป ผ่านทาง Backbone ของเครือข่าย
BROSWER โปรแกรมสำหรับใช้เล่น internet เวิลด์ ไวด์ เว็บ (www) ได้แก่ Internter Explorer, Netscape, Opera
Client ไคลเอ็นท์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ หรือเครื่องปลายทาง (terminal) ที่ต่ออยู่กับ เครือข่าย ที่สามารถใช้ "บริการ" ร่วมกันกับ เครื่องคอมพิวเตอร์อื่นได้ บริการเหล่านี้ จะถูกจัดเก็บ และบริหาร โดยเครื่องเซิร์ฟเวอร์
COMPOSE การแต่ง หรือเขียนจดหมาย Email
DIAL UP การติดต่อกับคอมพิวเตอร์ หรือระบบเครือข่าย ผ่านทางสายโทรศัพท์
DNS Domain Name Server การแปลงชื่อโฮตของเครือข่ายไปเป็นแอดเดรศ บนระบบเครือข่าย TCP/IP หรือใน internet
DOMAIN กลุ่มของคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่บนเครือข่าย
DOWNLOAD การส่งผ่านข้อมูล เช่น ไฟล์ภาพ, ไฟล์ภาพยนตร์, ไฟล์เสียงเพลง จากคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น มายังเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา
DSL เป็นคำย่อของ Digital Subscriber Line หรือคู่สายดิจิตอล เป็นเทคโนโลยี เครือข่ายสาธารณะ ที่สามารถส่งข้อมูล ด้วยความเร็วสูง ผ่านคู่สายทองแดง ธรรมดาทั่วไป เป็นระยะทางหนึ่งได้ ในปัจจุบันมี DSL อยู่ 4 ประเภทได้แก่ ADSL, HDSL, SDSL และ VDSL ซึ่งทุกประเภท จะอาศัย อุปกรณ์โมเด็มเป็นคู่ โดยอันหนึ่ง จะอยู่ที่ศูนย์ และอีกอัน จะอยู่ที่ผู้ใช้ ในกรณีที่ใช้ เป็นคู่สายไขว้ เทคโนโลยี DSL โดยส่วนใหญ่ จะไม่ใช้ แบนด์วิดท์ทั้งหมด ของคู่สายไขว้ จึงใช้ส่วนที่เหลือ เป็นช่องสัญญาณเสียงได้
EISA การเชื่อมต่อหรือ อินเตอร์เฟส แบบมาตราฐานของการ์ดต่าง ๆ ปัจจุบันล้าสมัยแล้ว http://www.expert2you.com/view_article.php?art_id=2580



ส่วนประกอบของระบบเครือข่าย

1. เครือข่ายส่วนย่อยของผู้ใช้ (User Subnetwork) ประกอบด้วยโฮสต์คอมพิวเตอร์ (Host Computer) หรือคอมพิวเตอร์แม่ข่าย และ เทอร์มินัลคอนโทรลเลอร์ (Terminal Controller) หรือส่วนควบคุมปลายทาง ซึ่งในการทำงานระบบนี้ คอมพิวเตอร์จะทำงานช้ามาก เพราะต้องรอการประมวลผลจากศูนย์กลางในการใช้งาน ทำให้ปัจจุบันมีระบบที่เรียกว่า ไคลเอนต์/เซิร์ฟเวอร์ (Client/Server) ขึ้นมาใช้งานแทน โดยที่มีการทำงานแบบกระจายคือ มีเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ทำหน้าที่เครื่องบริการ (Server) ให้บริการเก็บแฟ้มข้อมูล (File Server) , บริการพิมพ์งาน (Printing Server) เป็นต้น



ส่วนคอมพิวเตอร์ที่เป็นเครื่องรับบริการ (Client) จะมีหน่วยประมวลผลกลาง (CPU) ของตนเอง (จะมีฮาร์ดดิสก์ หรือเครื่องพิมพ์ด้วยก็ได้) เครื่องไคลเอนต์จะส่งคำของานไปยังคอมพิวเตอร์แม่ข่าย แล้วนำมาเก็บไว้ในซีพียูของตนเอง แล้วทำการประมวลผล จากนั้นก็ส่งกลับไปยังแม่ข่าย ทำให้การทำงานรวดเร็วขึ้น
2. เครือข่ายย่อยส่วนของการสื่อสาร (Communication Subnetwork) เป็นการติดต่อสื่อสารกันผ่านสายส่ง เพื่อส่งสารข้อมูลจากต้นทางไปถึงปลายทาง โดยผ่านทางสายเคเบิล สายโทรศัพท์ และสัญญาณดาวเทียม เป็นต้น

ซึ่งจะต้องมีตัวแปลงสัญญาณ เช่น โมเด็ม เพื่อแปลงสัญญาณจากคอมพิวเตอร์ให้เป็นสัญญาณที่ผ่านสายโทรศัพท์ได้ โหนดที่ทำหน้าที่เชื่อมประสานกับเครื่องย่อยของผู้ใช้ และทำหน้าที่ส่งข้อมูลผ่านเครือข่ายจากต้นทางไปยังปลายทางเราเรียกว่า เร้าเตอร์ (Routers)
ระบบเครือข่ายย่อยส่วนของการสื่อสาร แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ แบบจุดต่อจุด (Point to Point Channels) และ แบบแพร่กระจายข้อมูล (Broadcast Channels)

ข้อเปรียบเทียบของระบบเครือข่ายแต่ละแบบ

1) LAN มีระยะทางระหว่างจุดเชื่อมต่อที่จำกัดขนาดสูงสุดปกติ ไม่เกิน 10 Km.และต่ำสุดไม่น้อยกว่า 1 m.
2.) โดยปกติ MAN ทำงานด้วยความเร็ว 1 Mbps แต่ LAN จะมี ความเร็ว 1-10 Mbps แต่ถ้าใช้ Fiber Opticจะทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นเป็นหลายร้อย Mbps
3.) LAN มีระยะใกล้กว่าทำให้ส่งข้อมูลผิดพลาดน้อยกว่า MAN
4.) LAN จะอยู่ภายใต้การควบคุมของคน หรือองค์กรเดียว แต่ WAN จะมีขอบข่ายการใช้งานอยู่ทั่วโลก ดังนั้นการใช้ งานจะขึ้นอยู่กับองค์กรการสื่อสารของแต่ละประเทศด้วย

http://reg.technicratchaburi2.com/web/mana/page6.html

ความสัมพันธ์ของ LAN กับ WAN

Lan หรือ Local Area Network เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ระยะใกล้ คือใช้เชื่อมต่อกัน ในบริเวณที่ไม่ห่างจากกันมากนัก โดยการ เชื่อมต่อนี้ทำได้โดย สายสัญญาณพิเศษ ในสถาน ที่หนึ่ง ๆ หรือองค์กรหนึ่ง ๆ สามารถที่จะสร้างระบบ Lan หลาย ๆ ชุดได้หรือเชื่อม ระบบ Lan แต่ละชุดที่มีอยู่แล้วเข้าด้วยกันอีกทีก็ได้ อุปกรณ์ที่ใช้ในการประกอบด้วยเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีการติดตั้ง การ์ด เน็ตเวิร์คหรือ เรียกย่อ ๆ ว่า Card lan สื่อสัญญาณซึ่งอาจ เป็นสายเคเบิล แบบใดแบหนึ่ง ระบบปฏิบัติ การควบคุมเครือข่าย เช่น Novell Banyan VINEs Windows NT Server เป็นต้น
คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะเชื่อมโยงใยกันในระบบเครือข่าย LAN จะต้อง มีส่วน ประกอบ ที่สำคัญ คือ การ์ด Lan หรือ Network Interface Card (NIC) อุปกรณ์ชิ้นนี้จะช่วยให้เครื่องคอมพิวเตอร์ติดต่อกันได้ในเครือข่ายเสมือนกับที่โมเด็มเป็นอุปกรณ์ช่วย ให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ติดต่อส่งข้อมูลผ่านสาย โทรศัพท์ได้ ที่แตกต่างกันคือ การ์ด Land นี้เป็น อุปกรณ์ที่ทำให้เครื่อง คอมพิวเตอร์ สามารถสื่อสารข้อมูลด้วยความเร็วสูงในระดับ 10 หรือ 100 เมกะบิตต่อวินาที เร็วกว่าที่ส่งผ่านโมเด็มประมาณ 500 - 2-3 พันเท่า โดยมีสัญญาณ แบบพิเศษเป็นตัวกลางสายดังกล่าว เช่น Coaxial (สาย Lan ที่เห็นเป็นสีดำ) สาย Fiber Optic หรือใยแก้วนำแสง สาย Unshield Twisted Pair (UTP) คล้าย ๆ โทรศัพท์ธรรมดา แต่ใหญ่กว่าเล็กน้อย เป็นต้น การ์ด Lan แต่ละการ์ดที่ออกจาก โรงงานจะต้อง มีหมายเลข อ้างอิงโดยเฉพาะซึ่งแตกต่างกัน เพื่อใช้อ้างถึงระหว่างเครื่อคอมพิวเตอร์ที่ต่ออยู่ด้วย กันเป็น เครือข่ายให้ สามารถติดต่อกันได ้
ในกรณีที่มีระบบเครือข่าย Lan ตั้งแต่ 2 ระบบขึ้นไปที่อยู่ไกลบ้าน ไม่ได้อยู่ใน บริเวณเดียวกัน หรือมีคอมพิวเตอร์บางเครื่องในเครือ ข่ายที่อยู่ไกล มาก จำเป็นต้อง ใช้อุปกรณ์และ บริการพิเศษเพื่อช่วยในการเชื่อมโยงกัน ซึ่งจะเรียกว่าเป็นเครือข่ายระยะ ไกลหรือ เครือข่ายแบบ Wan หรือ Wide Area Network ในการเชื่อมกัน นี้สามารถ ทำได้หลายวิธี เช่น เชื่อมผ่าน สาย ที่เช่ามาเป็นพิเศษ (Leased Line ) จากองค์การโทรศัพท์ เชื่อมผ่าน ระบบไมโครเวฟ เชื่อมผ่านเครือข่ายบริการ ISDN ของการสื่อสาร ฯ หรือแม้แต่ ผ่านดาวเทียม เป็นต้น อุปกรณ์พิเศษที่จะช่วยเชื่อม LAN เข้าด้วยกันให้กลายเป็น Wan นี้เรียกว่าประตูเชื่อมต่อ หรือ Gateway ซึ่งจะทำให้ระบบ เครือข่ายขยายตัวได้อย่างไม่สิ้นสุด
จากเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้งานเดี่ยว ๆ หลายเครื่องถูกเชื่อมต่อกันกลายเป็น เครือข่าย Lan เมื่อมีเครือข่าย Lan หลาย ๆ ระบบแยกกัน ก็ถูกเชื่อมโยงกันกลายเป็นเครือข่ายแบบ Wan โดยหลักการแล้วเครือข่าย Wan จะประกอบไปด้วยส่วนต่าง ๆ 4 ส่วนคือ
ส่วนแรก ได้แก่ อุปกรณ์ที่ใช้ต่อเชื่อม Lan เข้าด้วยกัน เช่น Bridge หรือ Router
ส่วนที่สอง คืออุปกรณ์ช่วยในการต่อเข้าสู่เครือข่าย Wan เป็นตัว Gateway เช่น โมเด็มในกรณีใช้บริการผ่านบริการผ่าน เครือข่ายโทรศัพท์หรือ Terminal Adapter ในกรณีใช้บริการ ISDN
ส่วนที่สาม ได้แก่ สื่อสัญญาณหรือ Media เช่น สายโทรศัพท์ คลื่นวิทยุ ฯลฯ
ส่วนที่สี่ คือ ส่วนของการบริการ Wan หมายถึง เครือข่ายของผู้ให้บริการในการเชื่อมต่อระยะไกล ๆ เช่น องค์กรโทรศัพย์ หรือการสื่อสาร (รวมทั้งผู้รับสัมปทานจากจากทั้งสองหน่วยงาน เช่น DataNet เป็นต้น เช่น บริการเช่าพิเศษแบบที่ต่อจากจุดหนึ่ง ไปยังอีกจุดหนึ่งโดยตรง ไม่ต้องผ่านระบบชุมสายโทรศัพท์ธรรมดา (Point to Point) เช่น Leased Line หรือ T1. บริการที่ผ่าน ระบบชุมสาย (Circuit Swith) เช่น บริการโทรศัพท์หรือบริการ ISDN, บริการที่ต้องจัดส่งข้อมูลให้เป็นแบบส่วน ๆ (Packet) โดยคิดเงินตามปริมาณข้อมูลที่รับส่ง (Packet Swith) เช่น บริการ X.25 หรือบริการ Frame Relay
จากนั้นเครือข่าย Wan หนึ่งก็สามารถเชื่อมต่อเข้ากับ Wan ในอีกที่หนึ่งหรืออีก ประเภท หนึ่งได้ ทำให้ระบบเครือข่ายเป็นไป ในลักษณะ Internetworking ขยายครอบคลุมกว้าง ขึ้นไป เรื่อย ๆ ซึ่งเป็นหลักการที่กลาย มาเป็นระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ตในที่สุด
การเชื่อมโยงในลักษณะดังกล่าวระหว่างระบบที่แตกต่างกัน จำเป็นต้องมีมาตร ฐาน ในกา รติดต่อ กัน หรือเรียกว่าต้องมีระเบียบ วิธีการสื่อความหมายกัน ซึ่งเรียกเป็นศัพท์เฉพาะ ว่าโปรโตคอล (Potocol) มิฉะนั้นเครื่อง คอมพิวเตอร์ที่ติดต่อกัน ก็จะคุยกันไม่รู้เรื่อง ไม่ทราบ ว่า มีใคร ติดต่ออยู่บ้างและไม่ทราบว่าใครอยู่ที่ไหน วิธีการที่จะคุยกันได้ ก็มีการกำหนด วิธีการติดต่อทุกคนทราบและยึดถือ เป็นมาตรฐานได้ สำหรับเครือข่าย อินเตอร์เน็ต มีการใช้งานโปรโตคอลที่ชื่อว่า TCP/IP หรือTransmision Control Protocol / Internet Protocol เป็นระเบียบวิธีการ มาตรฐานในการติดต่อ กันใครต้องการเชื่อมต่อกันเป็นเครือข่าย อินเตอร์เนตก็ต้องไปคุยกันแบบTCP/IP ปัจจุบันนี้ในเครือข่ายอินเตอร์เนตมีคอมพิวเตอร์เชื่อมต่อยู่หลายล้านเครื่องและมีผู้ใช้งาน หลายสิบล้านคน โดยทั้งจำนวน เครื่องและจำนวน คนต่างก็พุ่งทะยาน ขึ้นเรื่อย ๆ ทุกวัน

http://www.med.cmu.ac.th/eiu/informatics/COMM/Life/Net%20work/Lan%20Wan.htm
.

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ประเภทของระบบเครือข่าย

การจำแนกระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามขนาดทางกายภาพ
1. LAN (Local Area Network): หรือเครือข่ายท้องถิ่น
2. WAN (Wide Area Network): หรือเครือข่ายบริเวณกว้าง
- การจำแนกระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามหน้าที่การทำงานในเครือข่าย
1. Peer-to-Peer Network หรือเครือข่ายแบบเท่าเทียม
2. Client-Server Network หรือเครือข่ายแบบผู้ใช้บริการและผู้ให้บริการ
- การจำแนกระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามระดับความปลอดภัยของข้อมูล
1. Intranet หรือเครือข่ายส่วนบุคคล
2. Internet หรือเครือข่ายสาธารณะ
3. Extranet หรือเครือข่ายร่วม
อ้างอิง :





ประโยชน์ของระบบเครือข่าย

1. ทำให้ใช้ทรัพยากร ของเครื่องคอมพิวเตอร์ ร่วมกันได้ (Resources Sharing) ซึ่งเป็นการช่วย ประหยัดค่าใช้จ่าย และเพิ่มความสะดวก ในการใช้งาน เช่น การใช้พื้นที่บนฮาร์ดดิสก์ และเครื่องพิมพ์ร่วมกัน
2. สามารถบริหารจัดการการทำงานของคอมพิวเตอร์ทุกเครื่อง ได้จากศูนย์กลาง (Centralized Management) เช่น สร้างเวิร์กกรุป กำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล และสามารถทำการ สำรองข้อมูล ของแต่ละเครื่องได้
3. สามารถทำการสื่อสาร ภายในเครือข่าย (Communication) ได้หลายรูปแบบ เช่น อีเมล์, แชท (Chat), การประชุมทางไกล (Teleconference), และ การประชุมทางไกล แบบเห็นภาพ (Video Conference)
4. มีระบบรักษาความปลอดภัย ของข้อมูล บนเครือข่าย (Network Security) เช่นสามารถ ระบุผู้ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูล ในระดับต่างๆ ป้องกันผู้ที่ไม่ได้รับอนุญาติ เข้าถึงข้อมูล และให้การคุ้มครอง ข้อมูลที่สำคัญ
5. ให้ความบันเทิงไม่รู้จบ (Entertainment) เช่น สามารถสนุกกับ การเล่นเกมส์ แบบผู้เล่นหลายคน หรือที่เรียกว่า มัลติ เพลเยอร์(Multi Player) ที่กำลัง เป็นที่นิยมกันอยู่ในเวลานี้ได้
6. ใช้งานอินเทอร์เน็ตร่วมกัน (Internet Sharing) เพียงต่อเข้าอินเทอร์เน็ต จากเครื่องหนึ่งในเครือข่าย โดยมีแอคเคาท์เพียงหนึ่งแอคเคาท์ ก็ทำให้ผู้ใช้อีกหลายคน ในเครือข่ายเดียวกัน สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ เสมือนกับมีหลายแอคเคาท์

http://school.obec.go.th/ckn/network1/new_page_4.htm
ความหมายและความสำคัญของระบบเครือข่าย

ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ( Computer Network ) หมายถึง การเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ตั้งแต่ 2 เครื่องขึ้นไปเข้าด้วยกันด้วยสายเคเบิล หรือสื่ออื่นๆ ทำให้คอมพิวเตอร์สามารถรับส่งข้อมูลแก่กันและกันได้

ในกรณีที่เป็นการเชื่อมต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์หลายๆ เครื่องเข้ากับเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่เป็นศูนย์กลาง เราเรียกคอมพิวเตอร์ที่เป็นศูนย์กลางนี้ว่า โฮสต์ (Host) และเรียกคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่เข้ามาเชื่อมต่อว่า ไคลเอนต์ (Client)
ระบบเครือข่าย (Network) จะเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อการติดต่อสื่อสาร เราสามารถส่งข้อมูลภายในอาคาร หรือข้ามระหว่างเมืองไปจนถึงอีกซีกหนึ่งของโลก ซึ่งข้อมูลต่างๆ อาจเป็นทั้งข้อความ รูปภาพ เสียง ก่อให้เกิดความสะดวก รวดเร็วแก่ผู้ใช้ ซึ่งความสามารถเหล่านี้ทำให้เครือข่ายคอมพิวเตอร์มีความสำคัญ และจำเป็นต่อการใช้งานในแวดวงต่างๆ

http://tc.mengrai.ac.th/paisan/e-learning/internet/page11.htm

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...